แรงบันดาลใจที่สร้างblog อันนี้ขึ้นมา

ธรรมชาติได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เราได้เรียนดูตลอดเวลา "เห็ด"(mushroom)ก็เป็นอีกอย่างที่ธรรมชาติมอบให้เป็นของขวัญกับมนุษย์ เป็นทั้งอาหารในการแก้หิว เป็นยาเวลาที่ป่วยได้เช่นกัน และฉันก็เป็นอีกคนที่หลงรักเห็ด(mushroom)มากๆๆๆ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความสำคัญของการเห็ด


พอเรารู้ว่าเห็ด(mushroom)หมายความว่าอย่างไร เราก็มาเรียนรู้ความสำคัญของเห็ด เพื่อเราจะๆเข้าใจในเห็ด(mushroom)มากขึ้น
ความสำคัญของการเพาะเห็ด
เห็ด เป็นพืชชั้นต่ำซึ่งจัดเป็นราชนิดหนึ่ง ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ไม่มีสารสีเขียว ต้องอาศัยสารอินทรีย์จากสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอื่น ๆ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต มนุษย์สามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้ เนื่องจากเห็ดเป็นอาหารที่มีรสชาติดี นอกจากเห็ดจะมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ในแง่ของอาหารและยาป้องกันรักษาโรคแล้ว เห็ดยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมสำหรับการเพาะเห็ดหลายชนิดประกอบกับต้นทุนในการผลิตเห็ดแต่ละชนิดค่อนข้างต่ำ จึงทำให้ผู้เพาะเห็ดมีรายได้ดี มีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปถึงฐานะทางเศรษฐกิจของชาติด้วย ดังนั้น นักเรียนควรศึกษาความสำคัญของการเพาะเห็ดให้มีความรู้ ความเข้าใจ ก่อนจะเลือกประกอบอาชีพการเพาะเห็ดในอนาคต
สาระการเรียนรู้
ตอนที่ 1 ความหมายและความสำคัญของเห็ด
ตอนที่ 2 แหล่งผลิตเห็ดทั่วโลก
ตอนที่ 3 ความเป็นมาของการเพาะเห็ดในประเทศไทย
ตอนที่ 4 แหล่งผลิตเห็ดที่สำคัญของไทย
ความหมายและความสำคัญของเห็ด
ความหมายของเห็ด
เห็ด (Mushroom) หมายถึง พืชชั้นต่ำประเภทฟังไจ (Fungi) ที่มีความแตกต่างไปจากพืชชนิดอื่น คือ ไม่มีคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) หรือสารสีเขียว ทำให้เห็ดไม่สามารถสร้างอาหารได้เองโดยวิธีสังเคราะห์แสง ต้องอาศัยอินทรีย์จากสิ่งมีชีวิต และสิ่งที่ไม่มีชีวิตเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
ความสำคัญของเห็ด
1. ความสำคัญของเห็ด­ที่มีต่อชีวิตประจำวัน
มนุษย์ทั่วโลกรู้จักเห็ดมานาน ทั้งประเภทที่นำมาใช้เป็นอาหารและประเภทที่มีพิษ สายพันธุ์ของเห็ดมีมากกว่า 30,000 สายพันธุ์ กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ในจำนวนสายพันธุ์ดังกล่าวมีถึงร้อยละ 99 สายพันธุ์ ที่มนุษย์สามารถนำมาบริโภคเป็นอาหารได้ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 1 เป็นเห็ดที่มีพิษหรือเห็ดเมา ซึ่งถ้าบริโภคเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เห็ดที่นำมาบริโภคเป็นอาหารในอดีตนั้นมีเพียงไม่กี่ชนิด เช่น เห็ดฝรั่งหรือเห็ดแชมปิญอง ซึ่งนิยมบริโภคกันมาก
ในแถบยุโรป เห็ดหอมเป็นเห็ดที่ชาวจีนนิยมบริโภคกันมากที่สุด ส่วนคนไทยนั้นนิยมบริโภคเห็ดโคนหรือเห็ดฟาง แต่เนื่องจากเมื่อนำเห็ดมาประกอบอาหารแล้วมีรสชาติดี ให้คุณค่าทางอาหารสูงและเห็ดบางชนิดยังมีสรรพคุณเป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้อีกด้วย จึงทำให้มีผู้นิยมบริโภค
กันมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าหลาย ๆ ประเทศเกือบทั่วโลกหันมาให้ความสนใจและร่วมมือกันในการวิจัย ค้นคว้า ทดลอง คัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์เห็ดให้มีจำนวนมากขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาเทคนิควิธีการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์เห็ดเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต
ให้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ประเทศที่มีการผลิตเห็ดเป็นจำนวนมากและส่งไป
จำหน่ายยังตลาดโลกได้แก่ ประเทศไต้หวัน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี และประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนั้น นอกจากจะนิยมบริโภคเห็ดกันมากแล้ว ยังได้ให้ความสำคัญแก่เห็ดมากจนเห็ดกลายเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงเทียบเคียงกับเนื้อสัตว์ ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวที่ติดปากคนไทยมาช้านานว่า “หมู เห็ด เป็ด ไก่ เป็นอาหารสำหรับผู้ที่มีอันจะกิน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เห็ดเป็นอาหารที่คนทั่วไปยอมรับมาช้านานแล้ว ในเรื่องของรสชาติและคุณค่าทางอาหาร ซึ่งสามารถแบ่งความสำคัญของเห็ดที่มีต่อชีวิตประจำวันได้ดังนี้
1. คุณค่าทางอาหารของเห็ด
จากการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าทางอาหารของเห็ดโดยกรมวิทยาศาสตร์พบว่า
เห็ดประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าและคุณประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงกว่าพืชผักชนิดอื่น ๆ ยกเว้นพืชผักตระกูลถั่ว ซึ่งเห็ดที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป เช่น เห็ดฟาง เห็ดหูหนู
เห็ดนางรม เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดนางฟ้า เมื่อนำวิเคราะห์จะพบว่าประกอบด้วยสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุต่าง ๆ และวิตามิน ในปริมาณที่แตกต่างกัน และพบว่า
เห็ดหูหนูบางชนิดมีปริมาณสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด และจากการวิจัยของหน่วยงาน วิจัยอุตสาหกรรมการเพาะเห็ดแห่งสหรัฐอเมริกา (America Mushroom Industry Research) พบว่าเห็ดที่นิยมบริโภคโดยทั่วไปจะประกอบด้วยวิตามินหลายชนิด เช่น ไทอามีน ไรโบฟลาวิน ไนอาซีน และวิตามินซี ส่วนวิตามินบี 12 จะพบเฉพาะในเห็ดเป๋าฮื้อเท่านั้นส่วนแร่ธาตุต่าง ๆ ที่พบในเห็ดทั่วไปได้แก่ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแคลเซียม แต่ในเห็ดเป๋าฮื้อจะมีธาตุแมกนีเซียมและโพแทสเซียม เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย จากชนิดของสารอาหารที่พบในเห็ดดังกล่าวข้างต้น
ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเห็ดเป็นอาหารที่มีคุณค่าเทียบเท่าเนื้อสัตว์จริงตามคำกล่าวที่ติดปากคนไทยมาแต่โบราณกาล
ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ราคาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารที่เป็นผลผลิตจากพืช ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจจึงควรเลือกบริโภคพืชผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงทดแทนเนื้อสัตว์บางตามความเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชประเภทเห็ดซึ่งมีสารโปรตีนสูง และโปรตีนของเห็ดจะไม่มีสารคอเรสเตอรอลที่เป็นอันตรายต่อระบบไหลเวียนของโลหิต ประกอบกับเห็ดมีปริมาณธาตุโซเดียมค่อนข้างต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้อาหารประเภทเห็ดยังนิยมบริโภคกันมากในหมู่นักปฏิบัติมังสวิรัติ (Vegetarian) รวมไป
ถึงผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ผู้ป่วยหลังพักฟื้นหรือผู้ต้องการบำรุงร่างกาย และที่สำคัญที่สุดก็คือ
มีเห็ดบางชนิดที่สามารถป้องกันและรักษาโรคบางอย่างได้
2. สรรพคุณทางยาของเห็ด
เมื่อประมาณ 20 ปีล่วงมาแล้วที่นักวิจัยเห็ดและนักการเพาะเห็ด ได้ค้นพบสรรพคุณทางยาของเห็ดหลายชนิด เช่น เห็ดหอม เห็ดฝรั่ง เห็ดหลินจือ เป็นต้น ว่าสามารถนำไปใช้เป็นยาธรรมชาติในการป้องกันและบำบัดโรคการสะสมไขมันในหลอดเลือด โรคความดันโลหิต และโรคมะเร็งได้อย่างปลอดภัยและได้ผล อีกทั้งยังมี สารเรทีน (Retine) ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านและ
ชะลอการเติบโตของเนื้องอกในร่างกายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดหลินจือ ได้ชื่อว่าเป็นเห็ดวิเศษสำหรับชาวจีนและชาวญี่ปุ่นมาช้านาน เนื่องจากมีความเชื่อว่าสามารถป้องกันและบำบัดโรคได้
หลายชนิด
ในปี พ.ศ. 2530 มีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของเห็ดหลินจือในประเทศไทยขึ้นอย่างแพร่หลายและขยายวงกว้างขึ้นโดยกรมวิชาการเกษตรร่วมกับสมาคมนักวิจัยการเพาะเห็ดแห่งประเทศไทยภายใต้การสนับสนุน ด้านวิชาการของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้วงการแพทย์ในประเทศไทยและประเทศแถบตะวันออกอื่น ๆ ยอมรับเห็ดหลินจือว่าเป็นยาสมุนไพรที่มีผลต่อการบำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด เช่น โรคความดันโลหิตผิดปกติ โรคบวมน้ำ โรคมะเร็ง โรคตับ โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน โรคกระเพาะและลำไส้ โรคประสาท เป็นต้น ในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่น
ได้นำเอาดอกเห็ดหลินจือที่เจริญเติบโตเต็มที่มาสกัดเป็นหลินจือผง เป็นเครื่องดื่มบำรุงรักษาและส่งเสริมสุขภาพ สำหรับประเทศไทยก็มีผู้ยอมรับเห็ดหลินจือกันมากขึ้น และเชื่อว่าอีกไม่นานคงมีผลิตภัณฑ์จากเห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น
ส่วนเห็ดชนิดอื่น ๆ เช่น เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ถึงแม้ว่าจะมีสรรพคุณทางป้องกันและบำบัดโรคได้น้อยกว่าเห็ดหลินจือก็ตาม แต่เห็ดทุกชนิดดังกล่าวก็มีคุณค่าทางอาหารสูง ซึ่งหากร่างกายได้รับครบถ้วนจะสามารถสร้างความต้านทานโรคได้ดีเช่นเดียวกัน


ที่มาของเนื่อหา http://www.vcharkarn.com/vblog/38061/1

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประวัติของเห็ด

ก่อนอื่นเรามารู้จักความหมายของเห็ด และ เห็ดมีกี่ประเภท
ความหมายของเห็ดในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 เห็ด คือส่วนของเชื้อราที่ออกเป็นดอก แบ่งเป็น 2 ชนิด ชนิดหนึ่งไม่มีพิษกินได้ เช่น เห็ดโคน เห็ดฟาง อีกชนิดหนึ่งมีพิษ บางชนิดกินแล้วถึงตายเช่น เห็ดระโงกหิน
เห็ด เริ่มเติบโตจากเชื้อเห็ดรา เกิดเป็นเส้นใยเห็ดรา จากนั้นเส้นใยเห็ดราจะรวมตัวกันเป็นก้อนเห็ดรา เมื่อก้อนเห็ดราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ได้รับอาหาร ความชื้น อุณหภูมิ ก้อนเห็ดราจะเจริญเติบโตเป็นเส้นใยเห็ดที่เรียกว่า ไฮฟา และเจริญเติบโตเป็นตุ่มเห็ดที่ค่อยๆ งอกและยืดตัวโผล่ขึ้นสู่ผิวดิน ผิวชั้นนอกของตุ่มจะปริออก เริ่มมีรูปร่างและสีสันตามชนิดของเห็ด จนดอกเห็ดเริ่มแผ่เป็นครีบและกลายเป็นดอกเห็ดที่โตเต็มที่ส่วนประกอบของเห็ดที่โตเต็มที่ มีส่วนประกอบคือ หมวกเห็ด เป็นส่วนของดอกเห็ดที่โตเต็มที่ ครีบหรือกลีบ เป็นซี่ๆคล้ายเหงือกปลาอยู่ใต้หมวกเห็ด ครีบนี้แผ่ออกจากรอบก้านดอกที่ติดกับหมวกเห็ดด้านในยาวมาถึงขอบหมวก ซึ่งเห็ดบางชนิดจะไม่มีครีบ แต่มีลักษณะอื่นแทนวงแหวนในช่วงที่ดอกเห็ดยังไม่บาน เมื่อดอกเห็ดบานแต่ยังมีส่วนที่ติดกับก้านดอกคล้ายกับวงแหวน ก้สนดอก เป็นท่อขนาดสั้น ยาว เล็ก ใหญ่แตกต่างตามชนอดของเห็ด ปลายก้านดอกด้านหนึ่งติดกับใต้หมวกเห็ด ส่วนอีกด้านติดกับเส้นใยเห็ด เปลือกหุ้ม เป็นเนื้อเยื่อที่หุ้มดอกเห็ดไว้ในช่วงที่เป็นดอกตูม เมื่อดอกเห็ดบานจะเห็นเปลือกหุ้มอยู่ที่โคนก้าน และ เส้นใยเห็ด หรือ ไฮฟา มีลักษณะเป็นเส้นใยหยาบๆสีขาวนวลรวมตัวกันอยู่ที่โคนก้านดอกซึ่งเห็ดบางชนิดไม่สามารถเห็นเส้นใยเห็ดได้ด้วยตาเปล่าหากเราแบ่งชนิดของเห็ดโดยอาศัยการกินสามารถแบ่งได้ 4 ชนิด คือ
เห็ดกินได้ Edible Mushrooms
เห็ดพิษ Toxic Mushrooms
เห็ดกินแล้วเสพติด Psychoactive Mushrooms
เห็ดกินเป็นยา Medicinal Mushrooms

ที่มาของเนื้อหา จาก http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=12c4408c12463537